แชร์ประสบการณ์ที่ได้ไป Web Summit 2019 — Lisbon, Portugal

แชร์ประสบการณ์ที่ได้ไป Web Summit 2019 — Lisbon, Portugal

วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์ในการที่ได้เดินทางออกจากประเทศไทยที่ไกลที่สุดเท่าที่ผมเคยคิดไว้ โดยต้องขอบคุณบริษัท I GEAR GEEK ที่ได้ทำให้การเดินทางในครั้งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยครับผม

“การผจญภัยครั้งนี้เกิดขึ้นไกลออกไป 10,454 กิโลเมตร!”

ซึ่งเนื้อหาของ Blog นี้จะไม่ได้ลงลึกเกี่ยวกับส่วนของเนื้อหาภายในงานน่ะครับ เพราะ มันอัดแน่นมาก ๆ มีหลายเรื่องที่ต้องย่อยเลยทีเดียว ไว้โอกาสต่อ ๆ ไปผมจะมาสรุปลง Blog ให้ได้อ่านกันครับ แต่สำหรับเนื้อหาในวันนี้ของเราจะเป็นการบอกเล่าภาพรวมว่างานนี้มันดีอย่างไร มีอะไรที่ผมได้พบเจอกับการเดินทางที่เรียกว่า “ไกล” สัส ๆ ที่สุดในชีวิตของผมแล้วก็ว่าได้ จุดประสงค์หลักของการเขียนจึงเป็นเสมือนการบันทึกการเดินทางของผม ที่บันทึกไว้เผื่อมันจะมีประโยชน์ในอนาคตเนอะ ดังนั้นถ้าเนื้อหาส่วนไหนผิดพลาดไป หรือ ตกหล่นแจ้งมาได้เลยครับผมจะได้ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง :)

Web Summit คืออะไร?

Web Summit คืองานที่จัดแสดง Talk ของเหล่าคนที่เป็น “ที่สุด” ของโลกก็ว่าได้ เรียกได้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นที่งานนี้ก็ลำบากแน่นอนครับ 55 เพราะ นอกจากคนที่เป็น Speaker ว่าโหด ๆ แล้ว แต่คนมาร่วมงาน ที่มาออกบู้ต มาเดินในงาน นี้ล้วนแต่เป็นตัว ท๊อป ๆ ของโลกเลยทีเดียวครับ ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีธีมงานที่แตกต่างออกไป แต่โดยรวมจะเน้นในเรื่องของการนำเอาเทคโนโลยีมาร่วมแก้ไขปัญหาของเรา ซึ่งงานนี้เสมือนการมาอัพเดทกันว่าในวงการไอที รวมทั้งสถานการณ์โลกมีผลกระทบอย่างไรบ้างในอนาคตอันใกล้

งานวันแรกของ Web Summit 2019

ส่วนประวัติงาน Web Summit ผมคงจะไม่เล่ามาก เพราะ มีหลายท่านเขียนสรุปไว้แล้วอย่างครบถ้วนครับ

Web Summit 2018 : ลิสบอน สอนใจ…น่าไปจริงมั้ย?
ผมเพิ่งกลับมาจากงาน Web Summit 2018 ที่เมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ต้องขอขอบคุณ dtac accelerate…
medium.com

Web Summit 2017 : อนาคตที่ปลายจมูก
มีเวลาไม่เยอะอยากอ่านสั้นๆ งาน Web Summit คืองานที่จัดขึ้นตั้งแต่ปี 2009 โดย 5 ปีแรกนั้นจัดที่ ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์…
missiontothemoon.co

ถ้านิยามงาน Web Summit แบบกระชับเลยมันก็คือ…

The Olympics for geeks

งานนี้ เราจะได้เรียนรู้ และ เผชิญกับ “อนาคต” อันใกล้ จากที่สุดของแต่ละวงการนั่นเองครับ ถ้าสำหรับในประเทศไทยของเรางานที่มีกลิ่นอายใกล้เคียงกันก็คงเป็นงาน TECHSAUCE GLOBAL SUMMIT นั่นแหละครับ ใครอยากเช็คว่าตัวเองชอบงาน Web Summit ไหม ก็ลองไปงานในไทยก่อนดูได้เลยน่ะครับ

งาน Web Summit จัดที่ไหน?

สวัสดี Lisbon!

งานนี้จัดกันที่เมือง Lisbon ประเทศโปรตุเกสครับ โดยแรกเริ่มเดิมที่งานนี้จัดกันที่ดูไบ แต่ทางทีมผู้จัดงานได้ย้ายมาจัดกันที่นี่ยาว ๆ ต่อไป 10 ปีเลยครับ เหตุผลก็คงมาจากการที่ทางรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความมีเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศโปรตุเกสด้วย (เดาว่าส่วนธุรกิจนึงก็หนีจากฝั่งอังกฤษกันด้วยส่วนนึง จากสถานการณ์ Brexit ที่มันยังดูคาราคาซัง)

Lisbon เป็นอีกเมืองที่น่าจับตามองของทางฝั่งยุโรป เนื่องจากในช่วง 3–4 ปี มานี้มี Startup และ บริษัททางด้านไอทีมากมาย ขยับมาเปิดสาขากันอย่างต่อเนื่อง (ในงาน Cloudflare ก็บอกว่าเพิ่งเปิดสาขาใหม่ใน Lisbon เช่นกัน) เรียกว่าเป็นอีกเมืองที่เนื้อหอมอย่างมากในวงการไอที จากที่ผมไปมาก็สัมผัสได้เลยว่าเมืองนี้อยู่ง่ายมาก ผู้คนยิ้มแย้ม มีน้ำใจ ค่าครองชีพก็ถูก การเดินทางก็มีให้เลือกหลากหลาย เรียกว่า Infrastructure ของเมืองโคตรพร้อมสุด ๆ

ผมขอเสริมเรื่องการเตรียมเอกสารขอวีซ่านิด ๆ เพราะวิงเวียนพอสมควรก่อนได้บิน 55

เนื่องด้วยประเทศโปรตุเกสอยู่ในเครือของ EU ดังนั้น การที่ประชาชนคนไทยแบบผมจะไปได้ก็ต้องทำ Schengen visa สำหรับการทำวีซ่าไม่ยากครับ เตรียมเอกสารต่าง ๆ (ที่มากกว่าตอนกู้ซื้อคอนโดหลายเท่า ฮ่า ๆ) ให้พร้อมติดต่อที่ศูนย์ TLS ได้เลย

ระยะเวลารอวีซ่าจากทางโปรตุเกสค่อนข้างใช้เวลาประมาณ 15–20 วันกันเลยทีเดียว อย่างผมยื่นไปล่วงหน้าประมาณเดือนครึ่งก่อนบิน (ชะล่าใจไปหน่อย) ก็ได้แบบเฉียดฉิวคือก่อนบิน 1 สัปดาห์ ดังนั้นใครจะขอวีซ่าผ่านทางโปรตุเกสแนะนำว่าให้เผื่อเวลาด้วยน่ะครับ อิอิ

ส่วนอีกคำแนะนำคือหากระยะเวลา Passport จะหมดอายุก่อน 6 เดือนผมแนะนำเลยว่าให้ไปทำ Passport ใหม่ก่อนยื่นเลย ตามกติกาของประเทศส่วนใหญ่ในแถบนี้จะนับ 6 เดือน ต่อให้ฝั่งยุโรปนับว่าก่อน 3 เดือนจะหมดอายุ ก็เพื่อความสบายใจจะดีกว่า เดี๋ยวจะวุ่นวายทั้งการออกจากไทย หรือ การแวะต่อเครื่องที่จะมีปัญหาได้ แต่แน่นอน ผมก็ดั๊น ชะล่าใจ นับแล้วเฉียดฉิว เรียกว่าขาดไปนิดนึง พอได้ Passport กลับมาผมเลยรีบไปทำเล่มใหม่เลย สำหรับของทางโปรตุเกสเราสามารถทำ Endorsement passport ได้เลย โดยไม่ต้องไปทำเรื่องย้าย Visa จาก Passport เดิมกับทางสถานฑูต แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่น่ะครับว่าทางกติกาของแต่ละประเทศคือยังไง ให้ติดต่อไปยังสถานฑูตที่ออก Visa ให้เราเพื่อความชัวร์จะดีสุดครับ

งาน Web Summit ปี 2019 เป็นอย่างไรบ้าง?

ครั้งนี้งาน Web Summit จัดขึ้นในวันที่ 4–7 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมานั่นเองครับ สำหรับรูปแบบหลักของงานในคราวนี้เห็นเพิ่มเรื่องการเน้นไปที่ “ผู้หญิง” มากขึ้นกว่าเดิม ทั้งการที่เราจะได้เห็น Speaker ที่เป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้นในงาน รวมทั้งยังมีเวทีให้ได้สามารถบอกเล่าเรื่องราวและปล่อยของกันได้อย่างจัดเต็มเลย

สำหรับสถิติในครั้งนี้ มีผู้ร่วมงานทั้งสิน 70,000+ คน
มี Speaker ทั้งสิ้น 1,200+ คน มี Startup มาออกบู้ตทั้งหมด 2000+ Startup (มีของไทยด้วยน่ะ ที่เห็นก็มี DEPA, True incube และ dtac Accelerate)

โดยภายในงาน Web Summit เราจะได้พบกับ…

1. Speaker ที่โหดสุดในแต่ละวงการนั้น

Edward Snowden ผู้อยู่เบื้องหลังการเปิดโปงโครงการของ NSA มากล่าวเรื่องเกี่ยวกับ “ข้อมูลส่วนตัว” ที่ให้ทุกคนได้คำนึงถึงความสำคัญ เพราะสถานการณ์ตอนนี้เราไว้ใจใครไม่ได้แล้ว… ที่สุดท้ายแกโดนตัดจบเพราะเล่ายาวไปนิดนึง ฮ่า ๆ เวทีนี้ไม่ว่าจะดังแค่ไหน ถ้าเกินเวลาเค้าปิดไมค์ตัดจบกันเลยทีเดียว

Guo Ping, Rotating Chairman ของ Huawei แสดงวิสัยทัศน์ของบริษัท Huawei ที่มีต่อชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคต ที่จะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี 5G ยันไปจนถึงการพัฒนา AI, Bigdata, VR, AR ที่จะเสริมสร้าง ecosystem ต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้

และยังมี Speaker อีกมากมาย เพราะ ภายในงานมีหลายเวทีมาก ๆ ที่จะมีตารางการขึ้นของ Speaker ที่ชนกัน อีกทั้งงานที่จัดก็เรียกว่าใหญ่มาก ๆ (ใหญ่สุดในชีวิตแหละมั้ง เพราะเราต้องใช้เวลาเดินจาก Hall แรกไป Hall สุดท้ายของงานประมาณ 15 นาทีกันเลยทีเดียว) ดังนั้นใครอยากฟังเรื่องไหนที่ตนเองสนใจต้องเตรียมวางแผนมา เพราะเราต้องเลือกเข้าฟังในเวลาที่ชนกัน

นอกจากเวทีหลักในครั้งนี้ยังมีเวทีย่อยในแต่ละ Hall ที่รันพร้อมกันถึง 10+ เวที โดยแต่ละเวทีก็จะแบ่งตามกลุ่มของเรื่องที่จะแชร์ อาทิ การสร้าง Culture, การทำ Startup, การลงทุน Investment, ด้านการเงิน, ด้านเทคโนโนโลยี Autonomous, ด้านพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม, ด้าน Marketing, ด้าน Developer มากมายก่ายกอง เรียกว่าเยอะแสส ๆ เลยครับ

เวทีย่อย ๆ ทุกเวทีเป็นลักษณะ Open space คือ ใครอยากลุก ใครอยากออก ใครอยากเข้ามาฟังก็ทำได้ทุกเมือเลย

Talk ที่ผมได้ฟังเยอะ มาก ๆ ประมาณ 20+ คือเดินวนไปวนมาจนหลงหลายรอบ ฮ่า ๆ อาทิการบอกเล่าเรื่องราวการพัฒนา Redit.com จาก CTO Redit เอง, การบอกเล่าวิสัยทัศน์ Amazon ในอนาคตจาก CTO, การฟังแนวโน้มการพัฒนา Bing search engine จากทีมของ Microsoft เอง, การได้ทราบเรื่องราวของทาง Google ในการให้ความสนใจทางด้าน “Privacy” ที่มากขึ้น รวมทั้งได้ฟังเรื่องราวเด็ด ๆ จากผู้พัฒนา Kong (อันนี้สนุกมาก ได้เห็นเลยว่าการสร้าง Startup ซักตัวนึงต้องทนทุกข์และตรากตรำแค่ไหน ฮ่า ๆ) และ ยังมีอีกหลายท่านที่แบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จ แนวคิดต่าง ๆ ในการพัฒนาทั้งองค์กร รวมทั้งสังคมของเราควบคู่กันไป

เรื่องเล่าจากผู้พัฒนา Kong แจ่ม ๆ

2. ไอเดียใหม่ แนวคิดแจ่มจาก Startup ทั่วโลก

นอกจากความเจ๋ง ของงานนี้ยังมีการที่เราได้เจอกับ Startup ใหม่ ๆ จากทุกมุมโลก ทั้งการขึ้นมา Pitch ไอเดียแบบสด ๆ ทั้งการออกบู้ตที่เราสามารถไปสอบถามรายละเอียดได้ด้วยแบบจัดเต็ม (บู้ตจะเวียนกันทุกวัน ดังนั้นในแต่ละวันเราจะได้เจอ Startup ใหม่ ๆ) ทำให้ผมได้เห็นแนวโน้มและทิศทางในอนาคตว่ามันจะไปทางไหนแบบคร่าว ๆ ได้เลย

3. เรียนรู้, พูดคุย และ สอบถาม จากบริษัทและบุคลากรระดับโลก

ในงานนี้ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่ในหลาย ๆ วงการมาจัดแสดง Product ของตนเอง รวมทั้งยังมีการเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ สอบถามจากทีมสร้างโดยตรงอีกด้วย ฝั่ง Amazon AWS ก็มีเปิด Workshop กันสด ๆ ในงานเลยด้วย

บุ้ต Google ตั้งประจันหน้ากับ Microsoft เลย

Night summit งานช่วงกลางคืน

ได้อะไรจากการไปครั้งนี้?

  • งานนี้เหมาะมากกับ Startup หรือ VC ที่จะไปหา Connection กันในงานเพื่อเกิดการลงทุน แต่สำหรับผมที่รอบนี้ไม่ได้ไปเผื่อการนั้นในครั้งนี้ แต่อยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ การได้เรียนรู้จากสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้านับว่าคุ้มค่ามาก ๆ กับการดั้นด้นมาถึงที่นี่ครับ
  • สิ่งที่เราได้กลับมานั้น นอกจากเนื้อหาที่จะได้จาก Speaker ต่าง ๆ แล้ว เราจะเริ่มได้เห็นมุมต่าง ๆ ที่กว้างขึ้น เราได้เห็นว่า Industry ในระดับโลกเค้ากำลังคิด หรือ ทำอะไร ซึ่งเป็นสิ่งนึงที่ได้กลับมาย้อนดูกลับบริษัทของเราเช่นกันว่าควรจะมุ่งไปสู่เส้นทางไหนต่อไป
  • หลายคนถามว่าไปทำไมนั่งดู Youtube ก็ได้? (หลังจบงานทางผู้จัดจะนำเอาคลิปตัดเป็น Talk แล้วเอาขึ้นออนไลน์) คำตอบคือใช่ และ ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะ การที่เรานั่งดูอยู่ที่นี่ก็ได้เนื้อหาครบถ้วนเหมือนกัน เผลอ ๆ ดีกว่าด้วย แต่สิ่งที่ไม่ได้คือบรรยากาศที่บอกไม่ถูก มันก็คงเหมือนกันการที่ทำไมคุณต้องไปดูคอนเสิร์ตในเมื่อมันฟังจาก Spotify ได้นั่นล่ะครับ สิ่งที่ได้กลับมามันคือ Energy หรือ พลังที่มากระตุ้น Motivation ในการทำงานของเราอย่างมาก ถ้าถามว่าไปอีกไหม? ฮ่า ๆ ผมคงขอเว้นไปก่อนแล้วกัน เพราะ ค่าใช้จ่ายเยอะพอสมควร
  • สิ่งที่ได้อย่างสุดท้าย คือการได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นผ่านมุมมองใหม่ที่ไกลออกไปกว่าเดิม รอบนี้ผมไม่ได้ไปคนเดียว ได้ไปกับพี่ ๆ น้อง ๆ คนไทยจากบริษัท Artisan Digital ด้วย ซึ่งสนุกมาก ๆ ได้เจอ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ในทุกช่วงเวลาเลยก็ว่าได้ครับ

การได้ร่วมงาน Web Summit เปรียบเสมือน “ทางลัด” ช่วยให้เราได้มองเห็นภาพอนาคตอันใกล้ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

เจอกันใหม่น่ะ Web Summit

สำหรับ Blog นี้ก็คงจบแต่เพียงเท่านี้ครับ ถ้าใครลังเลว่าคุ้มไหมที่จะไป ลองหาโอกาสซักครั้งไปเลยครับ ผมเชื่อว่า “คุ้ม” แน่นอน
นอกจากเมือง Lisbon ผมยังมีแวะไปเที่ยวในหลาย ๆ ที่ด้วย ไว้จะมาแปะเรื่องราวอื่นของทริปนี้ที่นอกเหนือจากงาน Web Summit นี้ในโอกาสต่อไปครับ ขอบคุณที่อ่านกันจบจบครับ :)